วันที่ 24 มี. ค. 2565 เวลา 20:07 น. ที่ปรึกษารมว. เกษตรฯเผยราคายางยังอยู่ในช่วงขาขื้นเร่งเดินหน้าลดพื้นที่ยางปีละ 1 แสนไร่ ตามมาตรการบริหารอุปสงค์อุปทานเพื่อสร้างเสถียรภาพราคาระยะยาว เมื่อวันที่ 24 มีนาคม นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารมว. เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายาง ได้ประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 2/2565 ที่ห้องประชุมรัษฎา อาคาร 2 ชั้น 2 การยางแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายกุลเดช พัวพัฒนกุล ประธานการยางแห่งประเทศไทย นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการยางแห่งประเทศไทย นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด นายประพันธ์ บุณยเกียรติ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าและการลงทุน นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีพาณิชย์ นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด นายนฐกร สุวรรณธาดา คณะทำงานรมว. เกษตรฯ สำนักงานเกษตรในทุกภูมิภาคทั่วโลก ผู้แทนชาวสวนยาง สถาบันชางสวนยาง และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล นายอลงกรณ์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้มีการรายงานถึงสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา ในประเทศคู่ค้าที่สำคัญโดยมุมมองทูตเกษตร จากสหภาพยุโรป กรุงโรม กรุงวอชิงตัน ดี.
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท. ) อธิบายถึงการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ เรื่อง การอนุญาตให้เจ้าของสวนยางโค่นต้นยางพารา ก่อนได้รับอนุมัติการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทน พ. ศ. 2564 จะมีขั้นตอนที่แตกต่างจากเดิมและง่ายต่อการปฏิบัติ โดยกำหนดให้เกษตรกรเจ้าของสวนยาง ห้ามโค่นยางก่อนได้รับอนุมัติ โดยเกษตรกรต้องไปยื่นคำร้องรับการปลูกแทนที่การยางแห่งประเทศไทยจังหวัด หรือสาขาที่สวนยางของเกษตรกรตั้งอยู่ โดย กยท. จะจัดคำขอการปลูกแทนเรียงตามลำดับก่อนหลังไว้เป็นรายปี ในแต่ละปีเจ้าของสวนยางจะได้รับการปลูกแทนมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ซึ่ง กยท. จะแจ้งให้เจ้าของสวนยางทราบล่วงหน้าว่าจะได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทนในปีใด หลังจากได้รับคำร้องแล้ว กยท. จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกไปสำรวจรังวัด ตรวจสภาพพื้นที่แปลงปลูก หากสวนยางเข้าหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 4 มาตรา 37 พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ. 2558 และระเบียบการยางแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทน พ. 2558 ที่กำหนดให้เกษตรกรที่จะรับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทน จะต้องเป็นเกษตรกรชาวสวนยางที่มีต้นยางอายุกว่า 25 ปีขึ้นไป หรือต้นยางทรุดโทรมเสียหาย หรือต้นยางได้ผลน้อย ตามหลักเกณฑ์ที่ กยท.
และมีสวนยางตั้งอยู่บนที่ดินที่ตนเองมีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิ์ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นเกษตรกรรายย่อยที่ถือครองพื้นที่สวนยางอยู่ไม่เกิน 50 ไร่ โดยจะได้รับเงินทุนอุดหนุน ไร่ละ 10, 000 บาท ตั้งแต่ 1 ไร่ แต่ไม่เกิน 10 ไร่ต่อเกษตรกรชาวสวนยาง 1 ราย ซึ่งพื้นที่สวนยางที่เข้าร่วมโครงการต้องมีต้นยางอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป แต่ต่ำกว่า 25 ปี มีจำนวนต้นยางเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 25 ต้นต่อไร่ และไม่เป็นสวนยางที่อยู่ระหว่างรับการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการปลูกแทน โดย กยท.
© Matichon ภาพประกอบข่าว ชาวนาภาคใต้หลายจังหวัดแห่ปรับพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน หลังราคาทะยานขึ้นกว่า 10 บาท/กก. ด้านราคาที่ดินสวนปาล์ม จ. นครศรีธรรมราช พุ่งกว่าเท่าตัวจาก 150, 000 บาทต่อไร่ เป็น 300, 000 บาทต่อไร่ เผยเจ้าของที่นารายใหญ่ส่งสัญญาณ หวั่น "ชาวนา" ติดกับดักราคาปาล์มน้ำมัน หากราคาปาล์มร่วงจะกลับมาทำนายาก เจ้าของที่นาปลูกข้าวรายใหญ่ของภาคใต้เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ราคาปาล์มน้ำมันที่ทยอยปรับตัวดีขึ้นมาตั้งแต่ปี 2564 จนขึ้นไปสูงถึง 12 บาท/กก. แม้ล่าสุดราคาจะเคลื่อนไหวลงมาประมาณ 8 บาท/กก. แต่เกษตรกรยังถือว่าอยู่ในระดับราคาที่ดี ส่งผลให้เกษตรกรที่ทำนาข้าวหลายจังหวัดได้เปลี่ยนที่นาข้าวมาพัฒนาเป็นสวนปาล์มน้ำมัน ตั้งแต่ จ. นครศรีธรรมราช จ. พัทลุง และ จ. สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวรายใหญ่ทางภาคใต้ ขณะที่อีกด้านมีความเคลื่อนไหวจากเจ้าของสวนปาล์มน้ำมันประกาศขายที่ดินจากราคา 150, 000 บาท/ไร่ ได้ขยับขึ้นมาถึง 300, 000 บาท/ไร่ เช่น สวนปาล์มน้ำมันในพื้นที่ จ. นครศรีธรรมราช เป็นต้น "คนที่บอกขายที่ดินสวนปาล์มตอนนี้ได้ราคาดี เพราะผลผลิตปาล์มน้ำมันราคาเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสวนปาล์มเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เท่าที่ทราบผู้ซื้อสวนปาล์มน้ำมันเป็นกลุ่มคนเงินเย็น คนที่ได้เงินเกษียณไม่รู้จะนำเงินไปลงทุนอะไร นำมาลงทุนซื้อสวนปาล์ม แต่หากมองระยะยาวผู้ลงทุนทำสวนปาล์มน้ำมันทิศทางอนาคตอาจจะเกิดความเสี่ยงได้ เพราะปาล์มน้ำมันเหมือนพืชเกษตรทั่วไป ราคาขึ้น-ลงไม่เสถียร และตอนนี้ราคาเริ่มปรับตัวลงแล้ว อาจจะหล่นมาเหลือ 3 บาท/กก.
หักค่าแรงทำไม้ (ค่าเลื่อย แบกขึ้นรถ ขนส่งโรงงาน) ค่าแรงทำไม้ปัจจุบัน ตันละ 400 บาท ฉะนั้น 124 ตัน X 400 บาท = 49, 600 บาท เพราะฉะนั้น 297, 600 – 49, 600 = 248, 000 บาท 4. หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (ถ้ามี) เช่น ค่าทำทาง, ค่าผ่านทาง ฯลฯ ซึ่งค่าใช้จ่ายไม่แน่นอน สมมติต้องเสียค่าผ่านทาง และค่าทำทาง รวม 20, 000 บาท เพราะฉะนั้น 248, 000 บาท – 20, 000 บาท = 228, 000 บาท 5. ต้องบวกกำไรให้ผู้รับซื้อ (ถ้าผู้ซื้อไม่ได้กำไร ก็คงไม่ซื้อให้เหนื่อยเปล่า) ปกติผู้ซื้อจะได้กำไร ไร่ละ 1 – 2 หมื่นบาท ตัวอย่างนี้บวกกำไรให้พ่อค้าไร่ละ 10, 000 บาท เพราะฉะนั้น 228, 000 บาท – 30, 000 บาท = 198, 000 บาท 6. สรุป ไม้ยาง 3 ไร่ ได้ราคาที่หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว เป็นเงิน 198, 000 บาท ตกไร่ละ 66, 000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่เจ้าของสวนตามตัวอย่างนี้ควรจะได้รับ ข้อพิจารณาเพิ่มเติม 1. น้ำหนักไม้ฟืนหรือไม้ตกเกรด จะไม่นำมาคิดคำนวณ เนื่องจากมีกำไรไม่มาก กล่าวคือ ไม้ฟืนราคาตันละ 600 บาท แต่ต้องหักค่าทำไม้ไปแล้ว ตันละ 400 บาท เหลือกำไรแค่ตันละ 200 บาท รถกระบะบรรทุกได้เที่ยวละประมาณ 3 ตัน กำไรรวมเที่ยวละ 600 บาท ใน 1 วันทำไม้ฟืนได้แค่ 1 เที่ยว/วัน/คัน เพราะทำไม้ฟืนเต็มรถช้ากว่าไม้เกรด ยิ่งตอนไม้ฟืนราคาตกยิ่งไม่ได้กำไรอะไรเลย เพราะค่าแรงเท่าเดิม 2.
ระยอง เพื่อดูวิธีการแปรรูปไม้ยาง ข้อมูลที่ได้นอกจากจะเป็นแนวทางในการขายไม้ยางของชาวสวนยางแล้ว ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาของไม้ยางไทยที่เกิดจากการดูแลจัดการไม่ดีทำให้ขายไม้ยางไม่ได้ราคาอีกด้วย รูปภาพ 1 (1) Untitled-1 ปัจจัยที่มีผลต่อราคาไม้ยาง…!!!
ระโนด สทิงพระ กระแสสินธุ์ และ อ. สิงหนคร ซึ่ง อ. ระโนดซึ่งเป็นแหล่งปลูกปาล์มน้ำมันรายใหญ่ มีการขยายปลูกปาล์มน้ำมันประมาณ 5, 000 ไร่ ในปี 2564 ตั้งแต่ราคาปาล์มน้ำมันปรับราคาสูงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2564 โดยปรับมาจากนาข้าว เพราะจากแรงจูงใจที่ราคาดีเพราะว่าเฝ้ารอราคาข้าวไม่ไหวส่งผลให้พื้นที่นาข้าวต้องหดหายไปบางส่วน "แต่ตอนนี้ปรากฏว่าปาล์มน้ำมันมาอยู่ที่ 7. 70 บาท/กก. จากราคา 11. ก่อนเทศกาลตรุษจีน หลังเทศกาลตรุษจีนร่วงลงมา" นายสมศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ส่วนราคาที่ดินสวนปาล์มน้ำมันในจังหวัดสงขลาปกติเคลื่อนไหวประมาณ 150, 000-180, 000 บาท/ไร่ แต่การบอกขายในราคา 250, 000 บาท/ไร่ ในขนาดพื้นที่สวนตั้งแต่ 10-50-60-70 ไร่ สาเหตุที่สวนปาล์มน้ำมันขยับขึ้นเป็นผลพวงมาจากการปรับราคาปาล์มน้ำมันดิบ นายสมศักดิ์กล่าวว่า เมื่อต้นปี 2546 ราคาผลผลิตปาล์มน้ำมันยังอยู่ที่ 2. 80 บาท/กก. และค่อย ๆ ปรับขึ้นมา สาเหตุจากปริมาณผลผลิตน้อย ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมแปรรูปน้ำมันปาล์มรายใหญ่แข่งขันกันแย่งซื้อ โดยเสนอราคาที่สูงโดยเฉพาะการเสนอราคาซื้อที่สวนปาล์ม จ. กระบี่ และ จ. สุราษฎร์ธานี เครือข่ายสวนปาล์ม 26 จังหวัด หึ่มรัฐ ขีดเส้น 2 สัปดาห์ ขู่แสดงพลังทุกอำเภอ ขนน้ำมันปาล์มมาเลย์ผ่านไทยไปลาว กนป.
15 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 75. 32 แบ่งออกเป็น 1. การตัดยางเก่าเป้าหมายปีละ1แสนไร่โดยปลูกยางใหม่ทดแทนด้วย ยางพันธุ์ดี สามารถดำเนินการคืบหน้าได้แล้ว83, 645. 10 ไร่ 2. การตัดยางเก่า1แสนไร่โดยปลูกไม้ยืนต้นเชิงเดี่ยวทดแทนมีความคืบหน้า54, 356 ไร่ เกษตรกรรมยั่งยืน 6, 536. 35 ไร่ และแบบสวนยางยั่งยืน 6, 103. 70 ไร่ ข้อมูล ณ วันที่ 21 มี. ค. 2565 ทั้งนี้ กยท.
ศ. 2564-พ. 2570) ตามยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนายางพาราทั้งระบบ โดยในปีงบประมาณ 2565 การยางแห่งประเทศไทย จะดำเนินการเก็บข้อมูลผลผลิตยางพาราและรายได้เฉลี่ยต่อไร่ของเกษตรกรผู้ปลูกยางในประเทศไทย จากเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรชาวสวนยาง ในพื้นที่ 45 จังหวัด ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ของเกษตรกรให้สูงขึ้น ทั้งนี้ นายอลงกรณ์ ได้เน้นย้ำถึงสถานการณ์โควิดและสงครามยูเครน-รัสเซียรวมทั้งปัญหาราคาน้ำมันและค่าเงินบาทยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ กยท. ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมีผลทั้งทางบวกและทางลบต่อราคายางและการส่งออกของไทย รวมทั้งขอให้เร่งดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลกับศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ (NABC:National Agriculture Big Data Center) ซึ่งเป็นของฐานข้อมูลกลางของหน่วยงานในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการพัฒนาฐานข้อมูล Big Data ในการใช้ประโยชน์และเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนกับหน่วยงานต่าง ๆ ในยุค Digital Transformation ด้วย