พ. - แนวโน้มตลาด มี. คาด SET ใน มี. มี downside จำกัดบริเวณ 1290-1300 จุด และมีโอกาสเกิดการรีบาวด์ทางเทคนิคหลังในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวลงแรงกว่า 200 จุด โดยมอง SET เริ่มมีความน่าสนใจด้านมูลค่าทางพื้นฐาน โดย SET บริเวณ 1300 จุด และอิงกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดปีนี้เติบโตในระดับ 5% SET จะเทรดที่ระดับ P/E เพียง 14. 3x ดึงดูดเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาด ส่วนปัจจัยสำคัญเรามอง: 1) การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในจีนดีขึ้นมาก เหลือภายนอกจีน ซึ่งคาดจะมีมาตรการคุมเข้มเพื่อคลี่คลายสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ขยายวงกว้าง และ 2) ประชุมกลุ่มโอเปก (ประชุม 5-6 มี. ค) ที่คาดจะมีการลดกำลังการผลิต 5-6 แสนบาร์เรล/วัน ช่วยพยุงราคาน้ำมัน และเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มพลังงาน ด้านกรอบบนของ SET มีแนวต้านที่ 1360 และ 1400 จุด กุมภาพันธ์ 2563 ภาพรวมตลาด ม. ปี 63 มีโอกาสฟื้นตัว โดยมองปัจจัยลบจะคลี่คลายลง และ SET ที่กลับมามีมูลค่าทางพื้นฐานน่าสนใจเป็นปัจจัยหนุน โดยปัจจัยสำคัญเรามอง: 1) สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่เป็นปัจจัยกดดันหลักต่อดัชนีจะคลี่คลายในทางที่ดีขึ้น จากการร่วมกันใช้มาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด 2) SET มีมูลค่าน่าสนใจ โดยบริเวณ 1500 จุด คิดเป็น PE ระดับ 15.
ประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในอีก 12 เดือนข้างหน้าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2. 0% จากราคาอาหารสำเร็จรูปที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย กนง.
24 ธ. ค. 2562 เวลา 12:20 น. 1.
0x เท่ากับ SET จะกลับมามี upside 100 จุด (อิงสมมติฐาน SET เคลื่อนไหวในกรอบ PE 15. 0-16. 0x) ส่งผลให้หาก SET ต่ำกว่า 1500 จุด มองจะมี downside ที่จำกัด และ 3) กลุ่มโอเปกมีแนวโน้มเลื่อนการประชุมเร็วขึ้นมาในเดือนก. จากเดิมมี. ซึ่งคาดว่าจะมีการพิจารณาลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมันเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มพลังงาน ทั้งนี้ แนวโน้มมีกรอบล่างที่แนวรับ 1500 และ 1480 จุด ซึ่งมอง downside จะจำกัดบริเวณนี้ ส่วนกรอบบนมีแนวต้านที่ 1550 และ 1570 จุด ที่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นไปหา มกราคม 2563 ภาพรวมตลาด ธ. 62 - แนวโน้มตลาด ม. 63 คาด SET ใน ม. ปี 63 มี downside จำกัดบริเวณแนวรับ 1530-1550 จุด ซึ่งมองเป็นกรอบล่างของเดือน และจะฟื้นตัวได้ ด้วยปัจจัยสนับสนุน 1) มูลค่าทางพื้นฐานที่น่าสนใจ โดย SET ปัจจุบันเทรด PE ที่ระดับเพียง 15x เมื่อเทียบกับผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ 2) ความคาดหวังเชิงบวกของตลาดในเรื่องเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวช่วยหนุนเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น 3) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนที่ผ่อนคลายลง หลังมีการบรรลุข้อตกลงการค้าในเฟสแรกไปแล้ว และตลาดคาดหวังถึงการทำข้อตกลงในเฟสที่สอง และ 4) January Effect ซึ่งตลาดหุ้นมักปรับตัวขึ้นในเดือนม.
2562 โดยในสัปดาห์นี้ ทางการจีนจะรายงานดัชนี NBS PMI ในวันที่ 31 ธ. ซึ่ง consensus คาดว่าจะลดลงเล็กน้อยจากในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ในฝั่งสหรัฐฯ นั้น จะมีการรายงานดัชนี ISM ภาคการผลิตในวันที่ 3 ม. ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าได้ (ดูรายละเอียดในตารางด้านล่าง) - กำหนดเวลาที่ชัดเจนของวันลงนามการเจรจาการค้า น่าจะส่งผลดีต่อจิตวิทยาตลาดหุ้น โดยในช่วงปลายสัปดาห์นี้ คาดว่านักลงทุนจะติดตามการประกาศวันที่สหรัฐฯ และจีนจะพบกันเพื่อลงนามดีลการค้าในเฟสแรก ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นภายในกลางเดือน ม. ทั้งนี้นักลงทุนควรติดตามประเด็นของการเริ่มเจรจา การค้าในเฟสที่สองด้วย ว่ามีแนวโน้มเกิดขึ้นเร็วมากน้อยเพียงใด - ตัวเลขเศรษฐกิจไทยเดือน พ. ย. น่าจะยังอ่อนแอ แต่ผลกระทบต่อตลาดหุ้นน่าจะมีจำกัดมาก ธปท. จะรายงานชุดข้อมูลเศรษฐกิจไทยของเดือน พ.
อื่น: ไม่เกิน 1. 50% ดาวน์โหลดเอกสาร ผลการดำเนินงาน ข้อมูล ณ วันที่ 24 กันยายน 2563 ต้นปีถึงปัจจุบัน 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี (ต่อปี) 3 ปี (ต่อปี) 5 ปี (ต่อปี) 10 ปี (ต่อปี) ตั้งแต่จัดตั้ง (ต่อปี) K20SLTF -20. 90% -10. 23% 12. 24% -21. 48% -6. 79% 1. 39% 4. 24% 5. 67% ผลตอบแทนตัวชี้วัด -18. 62% -5. 89% 23. 04% -20. 71% -6. 15% 1. 28% 6. 28% 7. 59% มูลค่าหน่วยลงทุนย้อนหลัง วันที่ ราคา ขาย ราคา ซื้อคืน ราคา มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 30/06/2563 14. 7757 +0. 0838 | 0. 5704% 14. 7758 14. 5541 15, 513, 223, 802. 28 29/06/2563 14. 6919 +0. 0223 | 0. 1520% 14. 6920 14. 4715 15, 425, 322, 199. 79 26/06/2563 14. 6696 +0. 0417 | 0. 2851% 14. 6697 14. 4496 15, 403, 241, 354. 09 25/06/2563 14. 6279 -0. 0370 | 0. 2523% 14. 6280 14. 4085 15, 355, 687, 746. 51 24/06/2563 14. 6649 -0. 2175 | 1. 4615% 14. 6650 14. 4449 15, 400, 008, 630. 94 23/06/2563 14. 8824 +0. 0288 | 0. 1939% 14. 8825 14. 6592 15, 629, 867, 009. 01 22/06/2563 14. 8536 -0. 2205 | 1. 4628% 14. 8537 14. 6308 15, 599, 940, 029. 90 19/06/2563 15.
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท. ) ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง. ) ทำจดหมายเปิดผนึกถึง รมว. คลัง เพื่อชี้แจงการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า สูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน โดยเมื่อวันที่ 30 มี. ค. 65 กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า (ไตรมาส 2 ปี 65 – ไตรมาส 1 ปี 66) จะอยู่ที่ 4. 1% ซึ่งสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปัจจุบัน สำหรับปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้า มีแนวโน้มจะสูงกว่าขอบบนของกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปทาน (cost-push shocks) เป็นสำคัญ ในขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ (demand-pull inflation) ยังอยู่ในระดับต่ำ ธปท. แจงคลัง ปัจจัยกดดันเงินเฟ้อ 1. ปัจจัยด้านอุปทานจากต่างประเทศ จากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้ราคาพลังงาน และราคาโภคภัณฑ์โลกปรับสูงขึ้นมาก และมีผลต่อเนื่องทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ก๊าซหุงต้ม และค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตาม 2. ปัจจัยด้านอุปทานในประเทศ จากโรคระบาดในสุกร และการส่งผ่านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นไปยังราคาอาหารสำเร็จรูป นอกจากนี้ ราคาอาหารสดหมวดอื่นๆ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามต้นทุนราคาอาหารสัตว์ และปุ๋ยเคมีที่สูงขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน อย่างไรก็ดี แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังไม่เข้มแข็งนัก จากเศรษฐกิจที่กำลังทยอยฟื้นตัว และยังมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงตลาดแรงงานที่ยังเปราะบาง และหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ กนง.