สิงหาคม 25, 2020 เรื่องที่คุณอาจยังไม่รู้ เกี่ยวกับ เชื่อว่าหลายๆคน แค่ได้ยินคำว่า "ไขมัน" ก็อยากจะหลีกเลี่ยงไปให้ไกลๆ แต่จริงๆแล้วไขมันมีอะไรมากกว่าแค่ทำให้ "อ้วน" เพราะจริงๆแล้วไขมันมีหน้าที่ต่างๆมากมายที่ช่วยในกลไกการทำงานของร่างกาย แน่นอนว่ามีทั้งประโยชน์และโทษ เพราะฉะนั้น วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจ "ไขมัน" กันใหม่!! คอเลสเตอรอล (Cholesterol) คืออะไร?? คอเลสเตอรอล คือ อนุภาคไขมันซึ่งผลิตขึ้นที่ตับและนำส่งไปที่เซลล์ต่างๆ เป็นสาตั้งต้นในการสร้างฮอร์โมนเพศ และสร้างสารสเตอรอลที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังเพื่อเปลี่ยนเป็นวิตามินดีเมื่อผิวสัมผัสกับแสงแดด และยังทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหนึ่งของผนังเซลล์ ใน 1 วัน ควรได้รับคอเลสเตอรอลเท่าไหร่?
HDL. Lab Tests Online®. American Association for Clinical Chemistry (AACC). Last modified: December 23, 2011. [cited in 25 January 2012]. Available from. 2. Singh VN., Editor. Low HDL Cholesterol (hyalphalipoproteinemia). Updated: Dec 29, 2011. Available from. เรียบเรียงโดย ภญ. สุพรรณิการ์ ประทีปจรัสแสง
4 หรือต่ำกว่า ตัวอย่างการคำนวณ นายสมชาย ตรวจวัดค่า TC ได้เท่ากับ 220 mg/dL และ วัดค่า HDLได้เท่ากับ 50 mg/dL ดังนั้นเมื่อนำมาคิดตามสูตร จะได้ 220/50 = 4. 4 สรุป: ผลที่ออกมาของคุณสมชาย มีค่าเท่ากับ 4. 4 ซึ่งต่ำกว่าค่ามาตรฐาน ในทางที่ดีคุณสมชายจะต้องเพิ่มค่า HDL ในร่างกายให้มากว่านี้ โรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐอเมริกา ได้บัญญัติศัพท์เรียกอัตราส่วนค่าคอเลสเตอรอลรวม TC ต่อค่าคอเลสเตอรอลความหนาแน่นสูง HDL ไว้ด้วยเช่นกัน โดยจะเรียกว่า อัตราส่วนความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ Cardiac Ratio หรือ CRR โดยมีสูตรการคำนวณเหมือนdกับโครงการศึกษาคอเลสเตอรอลแห่งชาติ คือ CCR = Total Cholesterol ( TC) / HDL Cholesterol Ratio ( HDL) โดยมีหลักเกณฑ์ในการชี้วัดดังตารางนี้ ค่า CCR ผลการชี้วัด 6. 5 สูง 5. 0 เหนือเกณฑ์เฉลี่ย 4. 5 เกณฑ์เฉลี่ย 4. 0 ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย 3. 0 ต่ำ ดังนั้นหากค่าที่วัดได้ เกินมาตรฐาน ( มากว่า 5.
คำว่า HDL กับ LDL คืออะไร สงสัยกันไหม.... HDL ย่อมาจากคำว่า high density lipoprotein คือ ไขมันที่มีความหนาแน่นสูง เป็นไขมันที่ดีสำหรับหลอดเลือดแดงเพราะจะป้องกันไม่ให้ไขมันที่ไม่ดี คือ โคเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์ และ LDL ไปพอกสะสมในหลอดเลือดแดง ถ้ามีระดับ HDL ในเลือดต่ำ ก็จะเพิ่มโอกาส เพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เช่น โรคหลอดเลือดสมองหรือ หลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น ระดับปกติในผู้ที่ยังไม่เป็นโรคหลอดเลือดแดงแข็งควรจะไม่ต่ำกว่า ๔๐ มก. /ดล. ระดับ HDL ในเลือดของคุณอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลดี ส่วน LDL ย่อมาจากคำว่า low density lipoprotein คือ ไขมันที่ความหนาแน่นต่ำ เป็นไขมันที่ทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง วิธีการวัดระดับ LDL ในเลือด ทำได้ ๒ วิธี คือ วิธีคำนวณค่า LDL จากค่าโคเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์และ HDL ในเลือด โดยใช้สูตร LDL= โคเลสเตอรอล-(ไตรกลีเซอไรด์/5) -HDL ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ส่วนอีกวิธีหนึ่งเป็นวิธีหาค่า LDL โดยตรงจากเลือด ทำได้บางโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เท่านั้น
ตรวจวัด HDL-C ได้น้อยกว่าค่ามาตรฐาน ( เป็นสิ่งที่ไม่ควรให้เกิดขึ้นกับร่างกาย) อาจแสดงผลว่า อาจเกิดจากมีภาวะมีไขมัน Triglycerides ในกระแสเลือดสูง จนเกิดโรค Hypertriglyceridemia ซึ่งมีสาเหตุมาจากการบริโภคอาหารที่มากไปด้วยแป้งและไขมัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งย่อมมีผลทำให้ ค่า HDL ต่ำลงด้วย อาจเกิดโรคเกี่ยวกับตับ เช่น โรคตับอักเสบ ( Hepatitis) หรือตับแข็ง ( Cirrhosis) ทำให้ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งตับเป็นผู้ผลิต HDL ขึ้นมา จึงทำให้ปริมาณ HDL ที่สร้างโดยตับลดลงตามไปด้วย มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น เป็นโรคอ้วน, ชอบสูบบุหรี่, ไม่ออกกำลังกาย, ชอบทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย 2.
คอยเก็บของเสียหรือไขมันส่วนเกินจากผนังหลอดเลือดกลับคืนสู่กระแสเลือด และนำไปยังโรงงานแปรรูปกำจัดขยะ คือ ตับ เพื่อเปลี่ยนสภาพจากไขมันคลอเลสเตอรอลให้กลายเป็นน้ำดีเพื่อใช้ย่อยไขมันต่อไป ทีนี้ทำอย่างไร เราจึงจะทราบตัวเรานี้มีระดับ LDL และ HDL สูงมากน้อยเท่าไร ก็ต้องหยิบกระดาษ ดินสอ มาบวกลบเลขกันสักเล็กน้อย โดยปกติการเจาะเลือดนั้น จะสามารถทราบระดับของคลอเลสเตอรอลรวม (Total Cholesterol) ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ซึ่งเป็นไขมันอีกชนิดเป็นไขมันอีกชนิดหนึ่งและ HDL ได้และนำมาคำนวณโดยอาศัยสูตรดังนี้ LDL-C = Total Cholesterol – (Triglyceride/5)-HDL ค่าปกติของ LDL ไม่ควรเกิน 160 มก. % ในคนปกติและไม่เกิด 130 มก. % ในผู้ที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบส่วน HDL ที่ดีควรเกินกว่า 45 มก.
ปีเตอร์ พี ทอธ แห่งโรงเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ สหรัฐเอมริกา ที่แนะนำการเพิ่ม HDL ให้ร่างกายได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ [banner slot1="mezti_1″ slot2="mezti_5″ slot3="mezti_4″ slot4="mezti_3″] 1. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน อย่าปล่อยให้ตนเองอ้วนหรือผอมเกินไป ( ตรวจสอบจากค่า BMI) 2. งดการสูบบุหรี่อย่างถาวร 3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 4. ควบคุมปริมาณการกินอาหารประเภทแป้งทั้งหลายเช่น น้ำตาล ข้าว ขนมต่างๆ เป็นต้น ให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป 5. เน้นการบริโภคเนื้อปลาให้มากขึ้น 6. ปรับเปลี่ยนเมนูอาหารในแต่ละวัน โดยให้ความสำคัญกับอาหารประเภท ผักสด ผลไม้ และข้าวไม่ขัดสี ( ข้าวกล้อง, ขนมปังโฮลวีต) น้ำมันมะกอก และถั่วชนิดต่างๆให้มากขึ้น 7.
02-391-0011 ต่อ 665, 666 ติดตามรับข้อมูลข่าวสารอัพเดทจากทางโรงพยาบาล: