สำหรับนักการตลาดที่ต้องการอ้างอิง benchmark reach และ engagement ของการทำ Facebook Marketing ทาง WeAreSocial/Hootsuite ได้สรุป digital report ประจำ Q1 ปี 2020 ออกมาโดยมีข้อมูลเกี่ยวกับ Facebook Benchmark ทั้งในระดับประเทศไทยและทั่วโลกดังนี้ Thailand Benchmark 1. ในแต่ละเดือนมี page like เพิ่มขึ้น 0. 09% 2. Post reach โดยเฉลี่ยเทียบกับ page like อยู่ที่ 8. 1% 3. ค่าเฉลี่ย organic reach เทียบกับ page like อยู่ที่ 5. 2% 4. Facebook page 23. 4% ใช้ paid media เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย 5. ค่าเฉลี่ย paid reach เทียบ page like อยู่ที่ 32. 7% 1. ค่าเฉลี่ย engagement rate เทียบกับ post reach (รวม post ทุกประเภท): 3. 05% 2. ค่าเฉลี่ย engagement rate เทียบกับ post reach สำหรับ video post: 9. 52% 3. ค่าเฉลี่ย engagement rate เทียบกับ post reach สำหรับ image post: 4. 15% 4. ค่าเฉลี่ย engagement rate เทียบกับ post reach สำหรับ link: 3. 16% 5. ค่าเฉลี่ย engagement rate เทียบกับ post reach สำหรับ status post: 2. 51% Global Benchmark 1. 12% 2. Post reach โดยเฉลี่ยเทียบกับ page like อยู่ที่ 7. 01% 3. 17% 4.
ความถี่ในการเห็นโฆษณา. ตัวเลข KPI ที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่ง ที่ใช้วัดจำนวนครั้งของการเห็น Ad ซึ่งจะทำให้รู้ว่า มีการเห็นซ้ำไปกี่ครั้ง. ซึ่งอาจทำให้เรานั้นหยุดโฆษณา หรือเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายใหม่ได้ทันที เพราะหากว่า การเห็นซ้ำมากเกินไปแล้วไม่มีผลในเชิงพฤติกรรมเกิดขึ้นมากพอ ก็ควรหยุดโฆษณานั้นเสีย. แต่บางครั้งการเห็นบ่อยๆ ก็มีผลต่อการซื้อเช่นกัน. เช่น การใช้การโฆษณาที่มีวัตถุประสงค์แบบ Retargeting ที่เน้นแสดงผลโฆษณาไปยังผู้ที่เห็นมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ซึ่งถือว่าเป็นคนที่มีโอกาสเป็นลูกค้าตัวจริงได้มากกว่าคนที่ไม่เคยมามีส่วนร่วมด้วย. เช่น คนที่เคยดูคลิปวิดีโอ คนที่เคยเข้าเว็บไซต์ ฯลฯ. อันนี้ความถี่ มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ซึ่งจะทำให้นักโฆษณารู้ว่าเกิดการแสดงผลโฆษณาไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว. แล้วความถี่ KPI ตัวนี้หาได้อย่างไร. ความถี่ เกิดจากตัวแปร 2 ตัวด้วยกัน คือ. จำนวนการแสดงผล (Impression) และ จำนวนการเข้าถึง (Reach). หากแสดงผลมาก แต่เข้าถึงน้อย ความถี่ก็จะมาก หากจำนวนการเข้าถึงกับการแสดงผลมีเท่าๆ กัน ความถึ่จะน้อย (เท่ากับ 1 คือ ไม่มีการแสดงผลซ้ำเลย). ถ้าพูดเป็นสมการคณิตศาสตร์ง่ายๆ ก็คือ. Frequency = Impression/ Reach นั่นเอง..
ล.
และผมก็ต้องนำข้อมูลเหล่านี้มาปรับกระบวนการทำงานให้เหมาะสมอยู่เสมอ 3. เน้นที่คุณภาพ อย่าเน้นที่ปริมาณ การสร้าง Engagement ให้ได้ "ตัวเลข" ไม่ใช่เรื่องยากหรอกครับ เอาเงินอัดก็ทำได้ หรือจะใช้เทคนิคต่างๆ นานา ไม่ว่าจะสายขาว สายเทา สายดำ ก็ทำได้ (อย่างการโพสต์ Click-bait หรือพาดหัวฉูดฉาดให้คนคลิก) แต่คำถามคือ "ผล" นั้นจะยั่งยืนและเป็นประโยชน์กับแบรนด์อย่างที่เราเชื่อเรื่อง Engagement กันจริงๆ หรือเปล่าล่ะ? พูดถึงหัวข้อนี้แล้ว ผมก็ต้องย้อนกลับไปต่อจากข้อ 1 ว่าคนทำงานเข้าใจกันดีหรือไม่ว่า Engagement ที่ว่านั้นจะได้ไปทำไม และคุณต้องได้อะไรเพื่อให้เกิดสิ่งนั้น การวางกลยุทธ์จะต้องเป็นขั้นเป็นตอนและเป็นเหตุเป็นผลเพื่อนำไปสู่การประสบความสำเร็จที่ตั้งไว้จริงๆ ไม่ใช่แค่การได้ตัวเลขสวยๆ ไปแปะบน Powerpoint หรือการไปคุยกับคนอื่นว่าแบรนด์คุณมีตัวเลข Engagement สูงมากแต่อย่างใด เพราะมันเป็นแค่ "ทางผ่าน" เท่านั้น
34% Engagement Rate โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2. 19% Comments comments facebook benchmark stats
ถ้าในโลกของความเป็นจริงแต่ละประเทศมีเงินตราเพื่อวัดมูลค่าของสิ่งต่าง ๆ สำหรับโลกโซเชียลก็คงมียอดเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) เป็นหน่วยวัดโพสต์ต่าง ๆ ว่ามีมูลค่ามากน้อยเพียงใดในตลาดโซเชียลมีเดียเป็นแน่ ทั้งยอดไลก์ ยอดแชร์ คอมเมนต์ และจำนวนผู้ติดตามต่างก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักสร้างคอนเทนต์ทั้งหลายได้วัดระดับของตัวเองในโลกโซเชียล แต่จะคิดอย่างไรได้บ้าง? ทาง RAiNMaker จะมาแชร์วิธีการคำนวณให้!
3. เน้นที่คุณภาพ อย่าเน้นที่ปริมาณ การวางกลยุทธ์จะต้องเป็นขั้นเป็นตอน และเป็นเหตุเป็นผลเพื่อนำไปสู่การประสบความสำเร็จที่ตั้งไว้จริง ๆ ไม่ใช่แค่การได้ตัวเลขสวย ๆ ไปแปะบน Powerpoint หรือการไปคุยกับคนอื่นว่าแบรนด์คุณมีตัวเลข Engagement สูงมากแต่อย่างใด เพราะมันเป็นแค่ "ทางผ่าน" เท่านั้น ทำการตลาดแบบไหน ที่ไม่ใช่ Engagement Marketing Engagement Marketing มุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกรักและภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว ถึงแม้ว่ากลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้จะไม่มีอะไรตายตัว แต่กลยุทธ์ที่ทางเราจะกล่าวถึงต่อไปนี้ ไม่ใช่ Engagement Marketing 1. Interruption marketing คือ การใช้กลยุทธ์เบี่ยงเบนความสนใจจากลูกค้า เช่นการที่มีโฆษณาขั้นกลางระหว่างการชมละคร วิธีนี้เป็นเหมือนกับการใช้ทริคเล็กน้อยเพื่อทำการขายสินค้า ซึ่งกลยุทธ์นี้จะใช้ได้ผลในระยะสั้น แต่ Engagement Marketing จะเน้นการสร้างความประทับใจ ที่จะให้ผลดีในระยะยาวมากกว่า 2. Event Marketing คือโฆษณาสินค้าและบริการผ่านการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยจะมีทีมงานคอยให้ข้อมูลหรือโปรโมตแบรนด์อยู่ในงาน เช่นการสัมมนา การเปิดบูธเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นต้น 3.
01 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2565 และคาดว่าจะถึง 1638. 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2573 ซึ่งเติบโตที่ CAGR โดยประมาณ 11.
แต่จะพูดถึงหลักคิด หรือ KPI ในการวัดความสำเร็จในขั้นการสร้าง #Awareness ที่นักการตลาดดิจิทัลควรต้องรู้และเข้าใจ CPM หรือ Cost Per Impression. ราคาต่อจำนวนการแสดงผลของ Ad. Impression คือ การแสดงผลของ Ad … เป็นการส่งให้ Ads กระจายออกไปทุกๆ ทาง ทุกๆ รูปแบบ ของ Ads. เช่น แสดงบน Mobile Feed, Desktop Feed, ใน IG, หรือ บน Right Column บน Desktop. เหล่านี้ถือว่านับเป็น Impresstion หนึ่งครั้งทันทีที่แสดงผลออกไป. รวมถึงการแสดงผลซ้ำสำหรับผู้ใช้แต่ละคนด้วย เช่น. ถ้าเราเห็น Ad หนึ่งมาแล้วเมื่อตอนเช้า แล้วช่วงบ่าย Ad ตัวเดิมก็นำมาแสดงอีกครั้ง แบบนี้จะมี Impression 2 ครั้ง (แต่จะเรียกว่ามี Reach 1 ครั้ง). การวัด KPI แบบ CPM ถือเป็น KPI พื้นฐานที่นักโฆษณาต้องรู้จัก เพราะ Facebook ใช้ตัวเลขจำนวน Impression ในการคิดเงินพวกเรานั่นเอง. โดยจะคิดเงินทุกๆ 1, 000 การแสดงผล (ซ้ำไม่ซ้ำไม่สนใจ คิดเงินหมด) ซึ่ง 1, 000 การแสดงผล จะเรียกว่า 1 Impression (ฟังดูงงๆ เนอะ แต่เค้าเรียกกันอย่างงี้จริงๆ). ส่วนว่าราคากี่บาทต่อ 1, 000 การแสดงผลนั้น ก็แล้วแต่การแข่งขัน (BIDING) ในเวลานั้น. อาจจะ Imp ละ 50 บาท 100 บาท หรือ มากกว่านั้น ก็เป็นไปแล้วทั้งหมด.