คนที่มีอาการชาที่ขาและเท้าส่วนใหญ่ มักจะเป็นคนที่นั่งอยู่ในท่าเดิมนานๆ แล้วเกิดการกดดันเส้นประสาทมากเกินไป หรือไปลดการไหลเวียนของเลือด อย่างไรก็ตามอาการชาที่เกิดขึ้นบ่อย หรือเกิดขึ้นอย่างฉับพลันอาจเป็นสัญญาณของอาการป่วยได้ ไม่ว่าจะสาเหตุอะไรเราจะมาดูกันว่าปัจจุบันนี้ เราใช้วิธีไหนกันบ้าง ที่สามารถรักษาอาการเท้าชาได้อย่างเห็นผลได้เร็วที่สุด การรักษาทางการแพทย์ เท้าชา คนที่มีอาการเท้าชาบ่อย อาจไม่สามารถหายเองได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป มีความจำเป็นต้องได้รับยารักษาเฉพาะทางจากโรงพยาบาล โดยตัวยาที่นำมาใช้รักษาประกอบไปด้วย 1. ยากล่อมประสาท ยากล่อมประสาทบางชนิดเช่น duloxetine – milnacipran เป็นยาที่ใช้สำหรับรักษาอาการ ไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) เป็นโรคที่การปวดกล้ามเนื้อมีอาการอ่อนเพลีย ซึ่งสามารถนำมาใช้รักษาอาการเท้าชาได้เช่นเดียวกัน 2. ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ บางชนิดสามารถช่วยลดการอักเสบเรื้อรังและอาการชาตามร่างกาย 3. กาบาเพนติน (Gabapentin) ยาที่บล็อกหรือเปลี่ยนการส่งสัญญาณของเส้นประสาท อาจช่วยลดอาการชาที่เกี่ยวข้องกับไฟโบรมัยอัลเจีย หรือโรคเส้นประสาทจากโรคเบาหวาน อย่างไรก็ตามการใช้ยาจำพวกนี้มีอันตรายมาก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการจ่ายยาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือเภสัชที่มีใบอนุญาติเท่านั้น ดังนั้นการเข้ารักษากับโรงพยาบาลแทนที่จะหาซื้อยามาทานเองดีกว่า การรักษาด้วยตนเองที่บ้าน หากคุณที่เป็นคนยุ่งจนไม่มีเวลาไปโรงพยาบาล หรือมีอาการเป็นครั้งคราว อาการชาทั่วไปสามารถรักษาได้ด้วยตนเองที่บ้านด้วยวิธีการดังนี้ 1.
พักผ่อนให้เพียงพอ สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการชาที่ขาส่วนใหญ่สามารถดีขึ้นได้ด้วยด้วยการพักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในท่าที่ผ่อนคลายอย่านั่งไขว้ หรือนอนเอาขาพาดกัน 2. ใช้น้ำแข็งช่วย น้ำแข็งสามารถช่วยลดอาการบวมที่สร้างแรงกดดันต่อเส้นประสาท เอาน้ำแข็งมาใช้ประคบเย็นกับขาข้างที่มีอาการชา และเท้าเป็นเวลา 15 นาที วันละหลายครั้ง 3. ใช้ความร้อนช่วย บางครั้งความร้อนสามารถช่วยคลายกล้ามเนื้อตึง ที่ไปกดเส้นประสาทจนทำให้เท้าชา ข้อควรระวังคือห้ามใช้น้ำ หรืออะไรก็ตามที่ร้อนจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการอักสบตามด้วยอาการชาหนักกว่าเดิม 4. การนวดเท้า การนวดขาช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายรู้สึกสบาย และอาจลดอาการชาได้ด้วย 5. ลดหรือหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์มีสารพิษที่อาจเข้าไปทำลายเส้นประสาท ซึ่งมักทำให้เกิดอาการชาบ่อยครั้ง แถมยังมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง หรืออาการอักเสบร้ายแรงตามมาด้วย admin
คนที่เป็นไข้เลือดออก ไม่แนะนำให้ใช้ยาไอบูโพรเฟนในคนที่เป็นไข้เลือดออก เพราะผู้ป่วยจะมีเกล็ดเลือดต่ำอยู่แล้ว ยาไอบูโพรเฟนอาจทำให้มีเลือดออกผิดปกติเพิ่มได้อีก สำหรับสำหรับผู้ป่วยเป็นไข้เลือดออกแล้วมีไข้สูง แนะนำว่าให้กินยาพาราเซตามอลร่วมกับเช็ดตัวลดไข้ก็เพียงพอค่ะ
สำหรับคนที่มีประวัติแพ้ยา สำหรับคนที่มีอาการแพ้ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs ให้ระมัดระวังในการใช้ยาไอบูโพรเฟนค่ะ โดยเฉพาะคนที่มีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง มีอาการผื่นขึ้นทั่วตัว ปากบวม ตาบวม ผิวไหม้ ผิวลอกปากเป็นแผล หรือบางคนที่มีอาการรุนแรง เหนื่อยหอบ หายใจไม่ออก ใครที่มีอาการเหล่านี้ห้ามใช้ยาไอบูโพรเฟนค่ะ 2. ผู้ที่มีภาวะเลือกออกง่ายและหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายและหญิงตั้งครรภ์ควรระมัดระวังในการใช้ยาไอบูโพรเฟน เพราะตัวยาสามารถทำให้เลือดออกผิดปกติได้ 3. ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ยาไอบูโพรเฟนอาจจะทำให้มีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ดังนั้นในคนที่เป็นโรคกระเพาะหรือแผลในกระเพาะอาหาร ต้องระมัดระวังในการใช้ยาไอบูโพรเฟน แนะนำว่าควรรับประทานยาไอบูโพรเฟนหลังอาหารทันทีหรือรับประทานยาเคลือบกระเพาะพร้อมกับยา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร 4. ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไตเสื่อม ไตวายหรือว่าเป็นโรคเกี่ยวกับไตต่างๆ ควรระมัดระวังในการใช้ยาเป็นพิเศษ ไม่ควรกินยาไอบูโพรเฟนเอง ควรให้แพทย์เป็นคนสั่งให้เท่านั้น เพราะยาไอบูโพรเฟนอาจทำให้อาการโรคไตแย่ลงจนถึงขั้นต้องฟอกไตได้ 5.
กินยาแก้ อาการชา แต่ไม่หาย เพราะไม่รู้เรื่องนี้ / หมอซัน - YouTube
9 อันดับ สมุนไพรยาระบายแบบไทย 6 ยาปฏิชีวนะ ธรรมชาติ กินสยบเชื้อดื้อยา สามารถติดตาม ชีวจิต ในช่องทางอื่นๆ ได้ที่ ติดตามคำแนะนำจาก กูรูสุขภาพ ทำตามง่าย เห็นผลจริง คลิกเลย!
เผยแพร่: 7 มี. ค. 2562 16:54 โดย: ผู้จัดการออนไลน์ หลังจากเปิดรายชื่อ 16 ตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม ว่าจะเป็นตำรับยากลุ่มแรกที่แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพื้นบ้านที่ผ่านการอบรมและขึ้นทะเบียน สามารถนำมาใช้รักษาผู้ป่วยได้ทันที หากกฎหมายลูกเกี่ยวกับตำรับยามีผลบังคับใช้ ซึ่งจะมีการประชุมคระกรรมการยาเสพติดให้โทษ เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวในวันที่ 8 มี. 2562 ทั้งนี้ ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 16 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้มีการเปิดเผยสรรพคุณของของตำรับยาแผนไทยที่มีกัญชาผสมทั้ง 16 ตำรับ ดังนี้ 1. ยาศุขไสยาศน์ ช่วยให้นอนหลับเจริญอาหาร ฟื้นฟูกำลังของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2. ยาน้ำมันสนั่นไตรภพ ช่วยลดอาการแทรกซ้อนในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งตับในระยะเริ่มต้น และช่วยแก้กษัยเหล็ก หรืออาการท้องแข็งเป็นดานซึ่งส่วนหน่งก็คือโรคมะเร็ง 3. ยาทำลายพระสุเมรุ บรรเทาอาการเกร็งกล้ามเนื้อ แขนขาอ่อนแรง ชา ในผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต โดยในตำราจริงๆ จะเขียนว่าแก้ลมชัก ปากเบี้ยว ตาแหก ซึ่งทั้ง 3 อาการเป็นอาการรวมของอัมพฤกษ์อัมพาตจากเส้นเลือดในสมองแตก 4. ยาทัพยาธิคุณ ลดอาการมือชาเท้าชาในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และใช้รักษาอาการมือเท้าบวมในผู้ป่วยมะเร็งตับ 5.
อาการแพ้ยาปฏิชีวนะ สำหรับอาการแพ้ยาฆ่าเชื่อ พอจะสังเกตได้นั้น มีได้ดังนี้ – เริ่มต้นจะรู้สึกริมฝีปากชา – มีอาการจามติดๆ กัน – รู้สึกคันตามตัว และจะมีอาการเหมือนลมพิษขึ้นตามตัวด้วย – น้ําหูน้ําตาไหล – แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก – ปากบวม คอบวม – หัวใจเต้นแรง – หัวใจเต้นอ่อนและเป็นลม – หมดสติ อาการแพ้เหล่านี้เกิดขึ้นได้เร็วมาก บางคนแพ้ภายใน 3-4 วินาที หลายคนจะแพ้ประมาณพักหนึ่ง หลังจากกินยา ยาที่จะแก้อาการช็อกหรือแพ้ยาอย่างชะงัดก็คือ อะดรีนาลิน วิธีแก้ 1. บางคนจะมีอาการแพ้ยาเป็นประจํา ยาที่ทําให้แพ้นั้นอาจจะไม่ใช่ยาประเภทปฏิชีวนะก็เป็นได้ แต่ถ้าแพ้และจําเป็นจะต้องกินยาที่ทําให้แพ้นั้นอยู่ ก็มีวิธีป้องกันอย่างหนึ่งซึ่งดีมาก นั่นคือทําเป็นเหรียญหรือป้ายติดตัวหรือผูกคอไว้ ระบุสั้นๆว่า แพ้ยาอะไรและถ้ามีอาการแพ้จนไม่รู้สึกตัว ขอให้นําส่งโรงพยาบาลทันทีด้วย 2. ในกรณีฉุกเฉินสําหรับคนไข้ ซึ่งอาจจะไม่รู้ตัวมาก่อนและเกิดการแพ้ยาจนหมดสติ ควรจะใช้วิธีนวดหน้าอก-หัวใจ-และปอด (CPR) แล้วรีบตามแพทย์หรือส่งโรงพยาบาล ในระหว่างนําส่งโรงพยาบาลต้องนวด CPR ต่อไปจนถึงมือหมอ 3. ยาที่จะแก้อาการช็อกหรือแพ้ยาอย่างชะงัด ก็คือ อะดรีนาลิน และแพทย์บางคนอาจจะให้ยาสเตียรอยด์และยาประเภท AMINOPHYLLINE ด้วย ยาประเภทหลังนี้เป็นยาขยายหลอดลมและขยายเส้นเลือด จงจำไว้ว่า ยาเหล่านี้คุณจะใช้เองไม่ได้ ต้องให้แพทย์เป็นผู้ให้เท่านั้น บทความอื่นที่น่าสนใจ ชัวร์หรือมั่ว สารพัดสมุนไพรลดไขมันในเลือด ลดอ้วน มีจริงหรอ??